Thursday, September 20, 2018

โหมด A P S M ต่างกันยังไง ควรใช้โหมดไหนถ่ายภาพ

โหมด A P S M ต่างกันยังไง ควรใช้โหมดไหนถ่ายภาพ

โหมดถ่ายภาพ A P S M ทั้ง 4 อย่างนี้เป็นคำถามที่คนเริ่มต้นมักจะถามกันว่าต่างกันยังไง แล้วควรใช้ตอนไหนถึงจะดีที่สุด วันนี้ผมเลยนำบทความเรื่องโหมดกล้องย่อยลงมาให้อ่านง่ายขึ้นเหลือแค่เรื่องที่มักจะถูกถามกันครับ หวังว่าจะช่วยแก้ป้ัญหาสำหรับคนที่เพิ่งซื้อกล้องตัวแรกได้ครับ

โหมด A, Mode A, Mode AV , Aperture Priority (สำหรับคนที่ชำนาญแล้ว)

โหมดนี้สำหรับคนที่ต้องการค่ารูรับแสงที่คงที่ (F) เมื่อเราตั้งค่ารูรับแสงไว้แล้ว ค่าอื่น ๆ กล้องจะเซ็ตให้เราเองครับ โดยที่เราอาจจะใช้การเซ็ต Auto อื่น ๆ ร่วมได้ เช่น Auto ISO Sensitivity เป็นต้นครับ ส่วนใหญ่คนที่ถ่ายภาพ Portrait จะเลือกแบบนี้ครับ เน้นการคุมความชัดตามที่ต้องการ ส่วนที่เหลือให้กล้องจัดการ
โหมดถ่ายภาพ a p s m
โหมดถ่ายภาพ A : โหทดนี้สำหรับคนที่ต้องการค่ารูรับแสงคงที่

สถานการณ์ที่เหมาะจะใช้โหมด A

การถ่ายภาพ Portrait ครับ ส่วนใหญ่เน้นการทำให้หน้าชัดหลังเบลอ เราก็จะเปิด F1.4, F1.8 ค้างไว้ ส่วนที่เหลือให้กล้องเลือกให้เรา ปกติผมก็จะทำแบบนี้ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของปริมาณแสง กล้องก็จะปรับค่า Speed Shutter ให้เอง สบายดีนะ

โหมด S, TV, Shutter Priority (สำหรับคนที่ชำนาญแล้ว)

โหมดนี้กล้องจะให้ความสำคัญกับ Shutter Speed เป็นหลัก โดยเราสามารถกำหนดค่า Shutter Speed ที่ต้องการไว้ ส่วนที่เหลือกล้องจะจัดการให้กับเราเองครับ เราอาจจะใช้การเซ็ต Auto อื่น ๆ ร่วมได้ เหมือนข้อก่อนหน้านี้ เช่น Auto ISO Sensitivity เป็นต้นครับ ส่วนใหญ่คนที่ถ่ายภาพ Portrait จะเลือกแบบนี้ครับ เน้นการคุมความชัดตามที่ต้องการ ส่วนที่เหลือให้กล้องจัดการ
โหมดถ่ายภาพ S
โหมดถ่ายภาพ S : กล้องจะให้ความสำคัญกับ Speed Shutter เป็นหลัก

สถานการณ์ที่เหมาะจะใช้โหมด S

การถ่ายภาพ Sport ต่าง ๆ เราก็จะเซ็ตค่า Speed Shutter ที่สูงค้างไว้เลวย หรือการถ่ายภาพที่ต้องการค่า Speed Shutter ต่ำคงที่เพื่อใช้ลากเส้นไฟถนน เราก็สามารถเลือกตรงนี้ค้างไว้ได้เช่นเดียวกัน

Mode P, โหมดโปรแกรม

โหมดกล้อง P หรือโหมดถ่ายภาพ Program เป็นอีกโหมดที่มีการทำงานคล้ายกับ Auto มาก กล้องจะคิดทุกอย่างให้แต่จะอนุญาตให้เราตั้งค่าบางอย่างได้ตามใจ เช่น ISO (ค่าความไวแสง), White Balance (แสงสุมดุลสีขาว), ค่าชดเชยแสง หรือแม้แต่โปรไฟล์สีของการถ่ายภาพ (Picture Style)
โหมดถ่ายภาพ P
โหมดถ่ายภาพ P : การทำงานคล้ายโหมด Auto แต่ก็ยังเลือกปรับค่าบางอย่างได้

สถานะการณ์ที่เหมาะจะใช้โหมด Program

เหมือนกับโหมด Auto ทุกอย่าง เพียงแต่ค่าที่เราปรับแต่งเพิ่มจะส่งผลต่อภาพที่ออกมาด้วย เป็นโหมดที่ควรฝึกใช้เพื่อเรียนรู้การทำงานของกล้องก่อนจะเริ่มใช้โหมดที่เริ่มให้เราปรับได้ยืดหยุ่นมากกว่านี้ ถ้าเรารู้จักกล้องของเรามากขึ้น เราก็สามารถคุมภาพที่ออกมาได้มากขึ้นไปด้วยครับ

โหมด M, Mode M, Manual (สำหรับคนที่ชำนาญแล้ว)

โหมด M สำหรับคนที่ชำนาญแล้ว และก็รู้ว่าการควบคุมแต่และแบบในสไตล์ของตนเอง แบบไหนที่เข้ากับสิ่งที่ต้องการมากที่สุด เราสามารถปรับตั้งค่าทุกอย่างได้อิสระ ทั้งความเร็วชัตเตอร์, ค่าความไวแสง, รูรับแสง และอื่น ๆ ที่ต้องการได้อย่างอิสระ บางครั้งอาจจะเลือกการตั้งค่า Auto ในบางส่วนได้เช่น Auto ISO แบบที่ลิมิต ISO สูงสุดที่รับไว้ได้
โหมดถ่ายภาพ M
โหมดถ่ายภาพ M : ปรับทุกค่าด้วยตัวเองได้อย่างอิสระ

สถานการณ์ที่เหมาะจะใช้โหมด M

ได้หมด ถ้าเรารู้ว่าการตั้งค่าของกล้องให้เข้ากับสถานการณ์นั้น มักจะเป็นการถ่ายภาพที่ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงค่าบ่อยนัก เช่น ถ่ายภาพสินค้า หรือแฟชั่นในงานสตูดิโอ หรือจะเอามาใช้ในการถ่ายภาพปกติก็ได้ถ้าเราถนัดการเซ็ตค่าแบบนี้ครับ

สรุปเรื่องโหมด A P S M

ถ้าเราต้องการถ่ายภาพโหมดไหน ก็ย้อนกลับไปดูเลยว่าแต่ละโหมดจะให้ความสำคัญของแต่ละอย่างต่างกัน
– ถ้าหากเราต้องการล็อครูรับแสงที่ต้องการไว้ให้ใช้โหมด A
– ถ้าต้องการล็อคความเร็วชัตเตอร์ไว้ให้ใช้โหมด S
– ถ้าต้องการออโต้ แต่ปรับค่าได้นิดหน่อย มือใหม่ก็ P
– ส่วนถ้าเราโปรแล้วให้ไปโหมด M ได้เลยถ้าต้องการปรับค่าอิสระตามที่ต้องการครับ

อ่านบทความอื่นที่น่าสนใจ

ความสุขคืออะไร ข้อคิดดีๆ 3 อย่าง ที่ได้จากงานวิจัยความสุขที่ยาวนานที่สุด

ความสุขคืออะไร ข้อคิดดีๆ 3 อย่าง ที่ได้จากงานวิจัยความสุขที่ยาวนานที่สุด

ความสุขที่แท้จริงคืออะไร ความมั่งคั่งและชื่อเสียงมันทำให้เรามีความสุขได้จริงหรือเปล่า Robert Waldinger ได้นำแสนอผลงานวิจัยจาก Harvard ที่ถึงแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 75 ปี แต่งานวิจัยนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป และเค้าเองก็เป็นผู้อำนวยการคนปัจบันที่คุมงานวิจัยนี้

ความสุขของชีวิต

เริ่มตั้งแต่ปี 1938 ที่งานวิจัยจาก Harvard นี้ได้ศึกษาชีวิตของอาสาสมัครกว่า 724 คน รวมถึงคู่สมรสและลูกหลานอีกกว่า 2000 คน ได้รวบรวมข้อมูลและสรุปอย่างชัดเจนว่า ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดช่วยให้คนมีสุขภาพดีและมีความสุข
งานวิจัยได้เริ่มต้นจากการศึกษาชีวิตของนักศึกษาใน Harvard และเด็กที่มาจากครอบครัวยากไร้ในชุมชุน Boston ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป คนเหล่านั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่ หนึ่งในนั้นกลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ John F. Kennedy
ตลอดเวลาที่ผ่านไปหลายปี นักวิจัยได้สัมภาษณ์อาสาสมัครและคนในครอบครัว ล้วงลึกถึงชีวิตความเป็นอยู่ รวมถึงประวัติการเข้ารับการรักษาพยาบาล ติดตามชีวิตของคนเหล่านี้มาโดยตลอด เวลาผ่านไปจึงได้พบว่า บางคนป่วยเป็นโรคทางสมอง บางคนติดเหล้า บางคนไต่เต้าสูงขึ้นมา ในขณะที่บางคนมีชีวิตที่ตกต่ำลง งานวิจัยนี้ได้ข้อสรุปเป็นข้อคิด 3 อย่าง

สร้างความสัมพันธ์ที่ดีและหลีกเลี่ยงการใช้ชีวิตโดดเดี่ยว

ความสัมพันธ์ที่ดีและใกล้ชิดจะช่วยยืดเวลาให้เราแก่ช้าลง กลุ่มคนที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวจะทำให้สุขภาพเริ่มแย่ลงในวัยกลางคน ทำให้สมองทำงานผิดปกติและทำงานแย่ลงและมีชีวิตที่สั้นกว่าคนทั่วไป
ความสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมในสังคมเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการมีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี คนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและกว้างขวางรู้จักคนรอบข้างมากมาย จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าคนที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวและหงา

คุณภาพของความสัมพันธ์สำคัญกว่าปริมาณ

ในสังคมที่มีคนเยอะมากมายแต่ก็ยังเหงาและรู้สึกโดดเดี่ยว ถึงแม้ว่าจะมีเพื่อนเยอะ ก็ไม่สำคัญเท่าความใกล้ชิดและคุณภาพของความสัมพันธ์ คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวที่รักและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จะมีชีวิตยืนยาวกว่าคนที่อยู่ในครอบครัวที่ขัดแย้งและบาดหมางกัน ถึงแม้ว่าคนเหล่านั้นไม่เคยนอกใจและอยู่ด้วยกันนานแค่ไหนก็ตาม

ความสัมพันธ์ที่ดีช่วยป้องกันโรคทางสมอง

คนที่อยู่ในครอบครัวที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันจะมีโอกาสน้อยกว่าที่จะเป็นโรคความจำเสื่อม ในเวลาที่รู้สึกว่ามีที่พึ่ง สามารถพึ่งพาอาศัยคนอื่นๆ ได้  ถึงแม้ว่าจะมีความทุกข์ยาก คนกลุ่มนี้ก็ยังมีสุขภาพจิตที่ดีและจำได้แม่น

สรุปการใช้ชีวิตให้มีความสุข

ชีวิตคนเราสั้น เราไม่มีเวลาให้กับการให้ร้ายแก่กัน หรือการขัดแย้งและไม่พอใจซึ่งกันและกัน คนที่ยังยึดติดความบาดหมาง มีแต่จะทำให้สุขภาพแย่ลง เราควรจะเอาเวลาไปใช้ชีวิต
ไม่มีทางลัดที่จะนำเราไปสู่ชีวิตที่ดีได้ การสร้างความสัมพันธ์ต้องการเวลา แรงกายและใจที่ทุ่มเท คนที่พบว่ามีความสุขในบั้นปลาย มักจะเป็นคนที่รู้จักสร้างและรักษาความสัมพันธ์ในครอบครัว รวมถึงเพื่อนและสังคม ให้เวลากับคนที่เรารัก เข้าหาคนที่อยู่ไกลเรา
การมีส่วนร่วมในสังคมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการมีชีวิตที่ยืนยาว ในขณะที่การอยู่อย่างโดดเดี่ยวจะทำให้ชีวิตแย่และสั้นลง คนที่สร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่ดี จะมีอายุยืนยาวมากกว่าคนที่ใช้ชีวิตและมีความสัมพันธ์ที่ขัดแย้ง คนที่อยู่ในครอบครัวที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันจะมีโอกาสน้อยที่จะเป็นโรคความจำเสื่อม

https://www.nicetofit.com/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/

Monday, September 10, 2018

7 วิธีง่าย ๆ ที่ทำให้ภาพถ่ายดูน่าสนใจ

7 วิธีง่าย ๆ ที่ทำให้ภาพถ่ายดูน่าสนใจ

เป็นทางออกสำหรับคนที่กำลังอยากจะให้ภาพถ่ายของเราดูสวย สะดุดตา เรียกความสนใจให้กับคนดูได้ และที่สำคัญการจัดองค์ประกอบ การใส่เนื้อเรื่องในภาพก็ยังลงตัวอีกด้วย เดี๋ยววันนี้เรามาดูกันว่าต้องทำอะไรบ้าง



อ่านต่อที่นี่

Thursday, September 6, 2018

25 ไอเดียถ่ายภาพวิวให้สวย

25 ไอเดียถ่ายภาพวิวให้สวย และวิธีคิดในการจัดองค์ประกอบภาพ


25 ไอเดียถ่ายภาพวิวให้สวย และวิธีคิดในการจัดองค์ประกอบภาพ สำหรับมือใหม่ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร เพราะว่าไม่มีไอเดียในการถ่ายภาพเลย ว่าควรจัดวางองค์ประกอบภาพยังไง หรือว่าควรเล่าเรื่องออกมายังไงให้สวย ในวันนี้ก็เลยรวมรวม 25 ไอเดียสำหรับการถ่ายภาพ Landscape ให้ออกมาสวยอย่างที่เราต้องการครับ

25 ไอเดียถ่ายภาพวิวให้สวย และวิธีการจัดองค์ประกอบภาพ Landscape


Tuesday, September 4, 2018

ทำบัญชีรายรับรายจ่าย มีประโยชน์อย่างไร?

ทำบัญชีรายรับรายจ่าย มีประโยชน์อย่างไร?


ตั้งแต่เด็กจนโต ก็ได้ยินแต่คนบอกให้ทำ “บัญชีรายรับรายจ่าย” แต่ความจริงแล้ว ไม่เคยรู้สึกว่าการทำบัญชีรายรับรายจ่ายนั้นมีดีและมีประโยชน์อย่างไร วันนี้เลยอยากมาแชร์ ข้อดีหรือประโยชน์ของการทำบัญชีรายรับรายจ่าย

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า บัญชีรายรับรายจ่าย คืออะไร

ถ้าลองมองตัวเราเป็นหนึ่งบริษัท แน่นอนว่าเราจะต้องทำงบดุล (เพื่อแสดงสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนความเป็นเจ้าของ) และงบกระแสเงินสด (เพื่อแสดงสภาพคล่องของบริษัท) บัญชีรายรับรายจ่ายส่วนบุคคล คือ การทำงบกระแสเงินสดเพื่อให้ตัวเราทราบถึงสภาพคล่องของเราว่ารายได้เรามากกว่ารายจ่ายหรือเรียกง่าย ๆ ว่า ตอนนี้สภาพคล่องของเรา  “ขาดทุน” หรือไม่

บันทึกบัญชีรับจ่ายง่ายๆ

บันทึกบัญชีรับจ่ายง่ายๆ



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่

Tuesday, August 28, 2018

‘รู้จักกับ เงินเฟ้อ’

‘รู้จักกับ เงินเฟ้อ’
ผมเชื่อว่า คนส่วนใหญ่รู้จักคำว่าเงินเฟ้อ ..แต่ไม่เข้าใจมัน !!
รู้จักคือ ‘ใครๆ ก็รู้ว่า เงินเฟ้อก็คือ เงินมันจะลดมูลค่าเมื่อเราถือไว้เฉยๆ ...เช่น เงิน 1 ร้อยบาท ในอดีตกินข้าวได้มื้อใหญ่ แต่ 1 ร้อยบาท วันนี้ กินได้แค่ก๋วยเตี๋ยว หรือ ข้าวแกง’
แล้วไงล่ะ ?
นี่แหละ ไอ้คำถาม ‘แล้วไงล่ะ ?’ มันเกิดจาก คนที่รู้จักเงินเฟ้อ แต่ไม่เข้าใจมัน
สิ่งที่ควรเข้าใจมีดังนี้
1. ‘เงิน เป็นสินค้าชนิดหนึ่ง’ ...ต้องเข้าใจก่อนว่า เงิน ของทุกประเทศ ก็เหมือนสินค้าชนิดหนึ่ง ..ประเทศที่เงินแพงๆ ก็เพราะ คนในโลกต้องการเงินเขา เช่น ดอลลาร์ ใครๆ ก็ต้องการ ยิ่งคุณอยู่ในประเทศที่รัฐบาลไม่มั่นคง คุณก็จะไม่อยากได้เงินของตัวเอง อยากได้ดอลลาร์แทน
(ลองนึกภาพ นักธุรกิจในประเทศที่การเมืองไม่นิ่ง ถ้าเขาขายของ เขาก็อยากรับเป็นดอลลาร์ แล้วก็อยากเอาเงินที่ได้ ไปฝากไว้ต่างประเทศ เช่น ที่สวิส , สิงคโปร์ , ฮ่องกง ...)
วันนี้เริ่มชัดเจนมากขึ้น พอเราเห็นปัญหา ค่าเงิน ในประเทศ เช่น เวเนซุเอลา , ตุรกี , มาเลเซีย , อินโดนีเซีย ...
ประเทศเหล่านี้ ค่าเงิน อ่อนลงอย่างรวดเร็ว เพราะ ทั้งนักลงทุน , เจ้าหนี้ และ ประชาชน ต่างกลัว แล้วขายเงินของประเทศเหล่านี้ แล้วไปถือเงินที่มั่นคงกว่าแทนเช่น ดอลลาร์
2. ‘ถ้ารัฐบาล สร้างหนี้เยอะๆ แล้วทำโครงการที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้มากๆ สุดท้ายเงินจะพัง เงินเฟ้อจะยิ่งสูง’ ...วันนี้เรากำลังเห็นปัญหาแบบ เวเนซุเอลา ลุกลาม มาในกลุ่มประเทศ Emerging Market ...ประเทศที่โดนก่อน ก็คือ ประเทศที่สร้างหนี้ต่างประเทศเยอะๆ แล้วมีเงินทุนสำรองต่ำๆ เช่น มาเลเซีย ...ปัญหานี้เพิ่งเริ่มต้น แล้วกำลังลุกลาม ช่วงนี้ถ้าจะลงทุนที่ไหน ต้องระวังเรื่อง หนี้ และ ทุนสำรองของประเทศนั้นๆ ให้ดี
ไม่งั้น เงินที่ลงทุนต่างประเทศ อาจกำไร แต่ดันขาดทุนค่าเงิน สุดท้าย ก็ขาดทุนอยู่ดี ...ช่วงนี้ต้องระวังให้เยอะครับ
3. ‘คนรวย แต่ละประเทศ เขาสู้กับเงินเฟ้ออย่างไร’ ...สิ่งที่ตรงข้ามกับเงินเฟ้อ ก็คือ สินทรัพย์
เพราะในขณะที่เงินสด นับวันจะลดมูลค่าเมื่อเวลาผ่านไป ...แต่สินทรัพย์จะเพิ่มมูลค่าสวนทาง
คนรวยในทุกประเทศ จึง เอาเงินสดไปซื้อสินทรัพย์ แล้วถือครองแทน
(อันนี้คนส่วนใหญ่ ไม่รู้ คิดว่า คนรวย คือ คนที่มีเงินฝากธนาคารเยอะๆ ...แต่ไม่ใช่เลย จริงๆ แล้ว คนรวยส่วนใหญ่ จะถือครองสินทรัพย์แทน เช่น ที่ดิน , อสังหา , หุ้น , ทอง , ของสะสม)
ถ้าเป็นประเทศ ที่เศรษฐกิจมีเสถียรภาพอย่างเช่น เมืองไทย ...คนรวยจะเอาเงินใส่ไว้ในหุ้น เป็นสัดส่วนที่สูงที่สุด ...รองลงมา ก็คือ ที่ดิน และ อสังหา
แต่ถ้าเป็นประเทศ ที่ไม่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ...คนรวยในประเทศนั้น จะนิยม ฝากเงินไว้ต่างประเทศ , ถือครองดอลลาร์ และ ทองคำ แทน
4. ‘จะรู้ได้อย่างไร ว่าประเทศไหนมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ’ ...ก็ดูว่า ประเทศนั้นๆ ผลิตสินค้าและบริการ ที่เป็นประโยชน์ต่อคนใช่หรือไม่
การที่ประเทศไทย วันนี้ค่อนข้างดี เพราะเราผลิตสินค้าและบริการที่หลากหลาย
พูดแบบไม่ได้อวยกัน ...สินค้าของไทย เป็นที่ยอมรับในประเทศเพื่อนบ้าน ในเรื่อง คุณภาพ และ ราคา
บริการเราก็มีการท่องเที่ยว ที่หลากหลาย และดึงดูด
ตรงนี้แหละ ที่เราต้องรักษาสมดุลย์ ให้ดี ไม่ประมาท แล้ว พยายามพัฒนาความรู้ ให้สามารถสร้างสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น ในราคาที่ถูกลง หรือ ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้
ก็ลองทำความเข้าใจสิ่งรอบตัว เราจะใช้ชีวิต ในโลกที่เศรษฐกิจผันผวนได้ดีขึ้นครับ

Sunday, August 26, 2018

iFIT โมเดลการศึกษาที่เราจะได้เรียนในสิ่งที่เลือกเอง


เราอาจจะเห็นผ่านตาอยู่บ้างเวลามีคนตั้งคำถามว่า “ถ้าไม่พูดถึงเรื่องเงินคุณอยากทำงานอะไร?” คำตอบของหลายคนมักออกมาตรงกันข้ามกับงานประจำที่ทำอยู่


และมีหลายคนที่เรียนจบมาทำงานไม่ตรงสายเพราะตอนที่เลือกคณะเรียนอาจจะยังไม่รู้เป้าหมายของตัวเอง แต่จำเป็นต้องเลือกเรียนเพราะค่านิยมของสังคม จนเจ็บปวดจากการเรียน และมีหลายคนตัดสินใจซิ่วหลังจากเรียนไปแล้วสักพัก  คงจะดีถ้าเราสามารถเลือกเรียนในสิ่งที่เราสนใจจริงๆ ได้

เมื่อความถนัดของแต่ละคนแตกต่างกันไป

เด็กคนหนึ่งอาจไม่ได้เก่งในหลักสูตรส่วนกลาง แต่ในสิ่งที่เขาชอบ เขาทำได้ดี แต่ระบบการศึกษาไม่ทำให้เขาหาตัวตนเจอ และการมี gap year ให้เด็กได้เรียนรู้และหาตัวเองว่าชอบยังไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทย รวมถึงสังคมที่ผู้ใหญ่มองว่าเด็กอายุ 18 ปี มีความคิดที่แตกต่างไปและยังไม่มีความสามารถพอที่จะดูแลตัวเอง
จะดีกว่าไหมถ้าการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้เปิดโอกาสให้คนคนหนึ่งได้ค้นหาความชอบของตัวเอง และเลือกเรียนในวิชาที่ใช่ และนำมาใช้ประโยชน์ได้จริงในอนาคต

iFIT (Individual Future Innovative Learning of Thailand)

โมเดลการเรียนรู้รูปแบบใหม่ ที่ผู้เรียนได้ออกแบบหลักสูตรของตัวเอง เน้นทักษะที่จะนำไปใช้ได้จริงในอนาคต ที่สามารถเรียนข้ามคณะ ข้ามสาขา วิชาเรียนมาจากความสนใจและความถนัดของผู้เรียนภายใต้คำแนะนำจากโค้ชที่จะมาช่วยให้ผู้เรียนออกแบบหลักสูตรให้ตรงกับเป้าหมายที่ต้องการ
แต่ถ้ายังไม่มีความฝันหรือไม่รู้ว่าจะเรียนอะไร ในโครงการนี้ปีการศึกษาแรกจะให้เรียนวิชาพื้นฐานทั้งหมดก่อนจะตัดสินใจว่าจะออกแบบหลักสูตรตัวเองอย่างไร พูดง่ายๆ คือ ปีแรกยังมีเวลาค้นหาตัวเองร่วมกับโค้ชว่าจะเรียนอะไร
ที่สำคัญโครงการนี้ไม่จำกัดว่าคุณจะจบสายสามัญ สายอาชีพ เรียน กศน. ก็เรียนต่อได้ทั้งหมด

ความฝันของลูกร้านรถเข็นขายน้ำเต้าหู้

สมมติที่บ้านขายน้ำเต้าหู้และมีความฝันอยากจะพัฒนาธุรกิจของครอบครัวให้เจริญและทันสมัยยิ่งขึ้น คือเปิดคาเฟ่ร้านน้ำเต้าหู้ ให้ดูทันสมัยไม่ใช่ร้านรถเข็นแต่อยากพัฒนาผลิตภัณฑ์ การบริการให้น้ำเต้าหู้ไม่ได้เป็นแค่ของถูก แต่คือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ รวมถึงความฝันที่จะได้เปิดร้านอยู่ที่บ้านเป็นความจริง
ผู้เรียนสามารถออกแบบหลักสูตรการเรียนร่วมกับโค้ช โดยการผสมผสานวิชาความรู้ เช่น เรียนกับเชฟตัวจริงในวงการ จากคณะมนุษยศาสตร์ฯ – เรียนการสร้างเจ้าของธุรกิจกับนักธุรกิจตัวจริง จากคณะ BUSEM – เรียนการโปรโมทร้านด้วยการตลาดดิจิทัล จากคณะบริหารธุรกิจ – เรียนการสร้างแบรนด์ จากคณะนิเทศศาสตร์ เป็นต้น ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้การทำธุรกิจและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยเลือกเฉพาะวิชาที่ได้ใช้จริงในการทำงาน

คนที่ยังไม่มีเป้าหมายชัดเจน แต่คิดว่าชีวิตนี้อยากเดินทางไปรอบโลก

ถ้าเป็นสมัยก่อนเราอาจคิดว่าจะต้องรวยขนาดไหนถึงจะทำได้ แต่ในยุคดิจิทัลที่พรมแดนจางลง และการทำงานก็ไม่จำเป็นต้องนั่งอยู่ในออฟฟิศตลอดเวลา ความฝันการเดินทางรอบโลกกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นและพร้อมที่จะกลายเป็นดิจิทัลโนเมด
ชนเผ่าเร่ร่อนยุคใหม่ที่ทำงานผ่านโลกออนไลน์ และออฟฟิศคือทุกที่บนโลก แต่สิ่งที่สำคัญคือภาษา ทักษะการถ่ายภาพ ถ่ายคลิปวิดีโอ ตัดต่อและเล่าเรื่อง คุณอาจหาเงินผ่านการขายรูปใน Photostock รับงานแปลภาษาจากช่องทางออนไลน์ หรือทำรายการในช่อง YouTube รวมถึงเขียนหนังสือให้เป็นที่มาของรายได้
โดยหลักสูตรที่ร่วมกันออกแบบ อาจเริ่มต้นจากภาษาและการถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ เพื่อให้ผู้เรียนหาเงินได้ตั้งแต่ยังเรียนหนังสืออยู่ แล้วพัฒนาทักษะของตนเองให้ดีขึ้น เล่าเรื่องผ่านการพูด การตัดต่อได้เก่งขึ้น สร้างแชนแนลใน YouTube ขึ้นมาจากการท่องเที่ยวในชีวิตประจำวัน เขียนบทความท่องเที่ยวใน blog ส่วนตัว แล้วต่อยอดทักษะให้ดีขึ้นเรื่อยๆ  จนตลอดหลักสูตรการศึกษาอาจมีเงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง และเริ่มพร้อมที่จะเดินทางได้ในทันที

อย่าให้กรอบหลักสูตรเดิมมาบีบให้คุณเป็นไปตามระบบที่มหาวิทยาลัยต้องการ

การเรียนรู้มีอยู่ทุกที่ในโลก การได้ออกแบบหลักสูตรที่ FIT กับผู้เรียนคงเป็นหลักสูตรในฝันของหลายๆ คน เกรดเฉลี่ยไม่อาจวัดความสามารถคนได้ทุกคน การได้ลงมือทำในสิ่งนั้นจริงน่าสนใจกว่าเรียนรู้ในตำรา และความฝันอาจไม่ถูกค้นพบตั้งแต่เด็กเมื่อหลักสูตรการศึกษารูปแบบเก่าอาจยับยั้งความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน
โครงการ iFIT ของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ จึงเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับใครหลายคนที่พร้อมจะเรียนรู้และไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเอง

สนใจหลักสูตร iFIT สามารถไปศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ ifit.bu.ac.th


Content by Sakrapee Rinsan
Illustration by  Visansaya Loisawai

วิกฤตมหาวิทยาลัย Lay off อาจารย์ - ขาย - ยุบเลิกกิจการ



ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
       ผู้อำนวยการหลักสูตร Ph.D. และ M.Sc. (Business Analytics and Data Science)

สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
       คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์


ผมต้องออกมายอมรับว่าตัวเองพยากรณ์พลาดไปมาก เพราะได้เขียนบทความว่า เมื่อมหาวิทยาลัยไทยต้อง lay off อาจารย์และเจ้าหน้าที่ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2561
       
       แต่สิ่งที่ผมคาดไว้กลับเกิดขึ้นไวกว่าที่ผมพยากรณ์ไว้มาก 

วันก่อนลูกศิษย์ผมที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเอกชนมาเล่าให้ฟังว่าตัวเธอเองต้องรับหน้าที่ไปบอกเพื่อนอาจารย์ว่าต้อง lay off แล้วเพราะไม่มีภาระงานสอน มหาวิทยาลัยต้องเลิกจ้างโดยไม่มีความผิดใด ๆ 
       
       มีมหาวิทยาลัยเอกชนหนึ่งแห่ง ได้ขายให้กลุ่มทุนจีนแล้ว และเปลี่ยนผู้บริหารชุดใหม่ และเริ่ม lay off อาจารย์ที่สอนได้แต่ภาษาไทยและภาษาอังกฤษออกไป และเริ่มหาอาจารย์ชาวจีนที่สอนเป็นภาษาจีนได้เข้ามาทำงานแทน 
       
       ไม่มีนักเรียนไทยเพียงพอแล้ว เด็กไทยมีอัตราการเกิดต่ำมาก เราเป็นสังคมสูงอายุรุนแรงมาก ถ้าไม่มีนักศึกษาจีนเลยไม่มีทางไปรอดสำหรับมหาวิทยาลัยเอกชน และที่ผ่านมาก็เอาเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาเป็นเครื่องจูงใจให้เด็กมากู้เงินแล้วเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนกันมาก แต่ก็ไม่ยั่งยืนและไปไม่รอด
       
       นอกจากนี้ยังมีมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง มีนักเรียนจีนเยอะ เด็กนักเรียนไทยหายไปมากกว่าสองในสาม กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาให้ได้ข้อตกลงเพื่อจะซื้อขายกัน แน่นอนว่าทุนจีนจะเป็นคนซื้ออีกเช่นกัน ยังไม่ได้ราคาที่ลงตัว
       
       ผมได้ยินข่าวมาว่ากลุ่มทุนจีนที่ทำธุรกิจพานักเรียนจีนเข้ามาเรียนในประเทศไทยจะลงทุนซื้อมหาวิทยาลัยเอกชนเอง และบริหารเอง และหาอาจารย์จีนมาสอนเอง และหานักเรียนจีนมาเรียนด้วยตัวเอง ครบวงจรอย่างยิ่งครับ เข้าใจว่าจะทำหอพักและร้านอาหารรอบมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำไป เรื่องนี้น่าจะมีเค้าความจริง ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ากังวลแต่อย่างใด ที่น่ากังวลกว่าคือนักเรียนมาแล้วไม่เรียนกลับมาสนใจแต่ค้าขายรอบมหาวิทยาลัยหรือมาทำธุรกิจอย่างอื่น เรื่องนี้ต่างหากที่ไทยเราโดยเฉพาะตรวจคนเข้าเมืองต้องดำเนินการจริงจังได้แล้ว
       
       เอาเป็นว่า ณ บัดนี้ เริ่มมีการ lay off อาจารย์มหาวิทยาลัยที่ไม่มีภาระการสอนกันแล้วอย่างเป็นเรื่องเป็นราวหลายๆ ที่ครับ ที่แย่สุดคือ รองอธิการบดี หรือ คณบดี ไม่ลงไปพูดกับผู้ถูก lay off เอง แต่ให้หัวหน้าภาควิชาลงไปพูด ทำไมไม่ลงไปบอกเองหนอ 
       
       สาขาวิชาที่เสี่ยงจะถูก lay off คือสาขาวิชาที่ไม่มีนักศึกษาเรียนครับได้แก่ 
       
       เศรษฐศาสตร์ วันก่อนอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยออกมาพูดเองเลย 
       สถิติคณิตศาสตร์ฟิสิกส์ วิทยาการคอมพิวเตอร์การจัดการระบบสารสนเทศ วิชาพวกนี้ยากไป เด็กไทยไม่อยากเรียน 
       ปรัชญาประวัติศาสตร์ วิชาพวกนี้จบไปไม่มีงานโดยตรง เด็กไทยก็ไม่อยากเรียน 
       
       อาจารย์มหาวิทยาลัยในสาขาวิชาพวกนี้น่าจะไปก่อนครับผม เอาเข้าจริงเห็นอาจารย์ในสาขาวิชาเหล่านี้เริ่มถูก lay off แล้วครับ 
       
       ส่วนสาขาวิชาบางสาขากลับขาดแคลนหนักมาก เช่น พยาบาลศาสตร์ ผลิตเท่าไหร่ก็ไม่พอ หาอาจารย์พยาบาลก็ยากลำบากเหลือเกิน สาขาแพทย์ก็ขาดแคลนแต่ไม่เท่าพยาบาล เพราะเราเข้าสังคมผู้สูงอายุ การเจ็บป่วยก็มากขึ้น ต้องการคนดูแลมากขึ้น 
       
       การปรับตัวเป็นเรื่องจำเป็นมาก โดยเฉพาะการปรับตัวหลังถูก lay off จะไปทำอะไร อายุก็มากแล้ว และอยู่ใน comfort zone ในมหาวิทยาลัยมีอำนาจเหนือนักศึกษา และหลายคนไม่ได้ทำงานจริง ๆ มานานมาก สอนหนังสืออย่างเดียว จนทำอะไรไม่เป็นแล้วก็มีมาก
       
       TCAS รอบนี้ หนักหนามากครับ ระบบห่วย ซับซ้อน และซ้ำซ้อนมากเกินไป เพราะทุกมหาวิทยาลัยแย่งเด็กที่มีจำกัดมาก มีที่นั่งให้เรียนมากกว่าจำนวนเด็กที่อยากเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
       
       วันก่อนได้สนทนากับรองเลขาธิการ สกอ. ได้เล่าให้ผมฟังว่าปีที่ผ่านมามีมหาวิทยาลัยไทยขอเลิกกิจการไปสองแห่ง และขณะนี้มีการยื่นเรื่องเพื่อขอปิดมหาวิทยาลัยอีก 5 แห่ง 
       
       มีบางมหาวิทยาลัยในต่างจังหวัดเล็ก ๆ รับเด็กได้สิบกว่าคนทั้งมหาวิทยาลัย อย่างไรก็ไม่รอด ต้องเลิกกิจการแน่นอน 
       
       ปีหน้าน่าจะหนักหนากว่านี้
       
       TCAS ปีนี้ที่มีปัญหามาก ส่วนหนึ่งคือนักเรียนสมัครน้อย และเกิดการชิงเปรต แย่งเด็กกัน
       
       TCAS เที่ยวนี้เอาเข้าจริงคือ 7 รอบ (รวม 3/1 และ 3/2) ใช้เวลานานเกือบครึ่งปี และมีระบบสอบมากกว่า 50 ระบบ 
       
       มหาวิทยาลัยแย่งเด็กกันเพราะสถานการณ์เช่นข้างบน 
       
       รอดูครับ มีแต่จะเลวร้ายลงไปกว่านี้
       
       พวกมหาวิทยาลัยราชภัฎ ในต่างจังหวัด ที่นักศึกษาลดลงมากก็มีการเลิกจ้างและเลย์ออฟอาจารย์ที่เป็นพนักงานมหาวิทยาลัยกันมากมาย
       
       ที่ยังอยู่กันไล่ไม่ได้คืออาจารย์มหาวิทยาลัยที่เป็นข้าราชการเท่านั้น ซึ่งก็เหลืออยู่ไม่มากนัก 
       
       พวกพนักงานมีสัญญากันไม่กี่ปีตอนนี้จะเริ่มถูกเลย์ออฟครับ ถ้าไม่มีภาระงานสอน และไม่มีภาระงานอย่างอื่น
       
       ใครจะขึ้นมาเป็นคณบดี อธิการบดี รองอธิการบดี โปรดเตรียมตัวมาทำหน้าที่นี้เพื่อความอยู่รอดของหน่วยงานของตัวเอง โปรดเตรียมตัวไปศาลปกครองด้วย ขอให้โชคดีกันนะครับ
       
       มหาวิทยาลัยของรัฐก็อย่าชะล่าใจ
      
       มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ จะมีวิธีการบริหารที่เด็ดขาดกว่า เช่น สาขาวิชาไหน ไม่มีนักศึกษาเรียนพอแล้วทำให้ขาดทุน ก็ต้องยุบไป ต้องเกลี่ยอาจารย์ไปสอนในสาขาวิชาที่มีนักศึกษา หากปรับตัวไม่ได้หรือไม่มีสาขาวิชาไหนต้องการก็ต้องลาออกไป ไม่ต่อสัญญาจ้าง จะถูกบีบให้ออก เพราะไม่มี value และ ไม่มี contribution อะไรที่มาทดแทนกันได้

       
       หรือไม่ก็ให้โอกาสให้ไปเขียนหลักสูตรมาใหม่ ทำให้มีนักศึกษามาเรียนให้ได้ 
       
       เวลานี้สถานการณ์มหาวิทยาลัยไทย ย่ำแย่มาก ไม่มีนักศึกษา และอาจารย์กำลังจะถูก lay off มากขึ้นเรื่อยๆ
       
       ประเทศเล็กๆ มีมหาวิทยาลัยมากเกือบสามร้อยแห่ง ยุบๆ ไปบ้าง หรือยุบรวมกันไปบ้าง มากกว่าครึ่งหนึ่งยังเหลือแหล่เกินพอเพียง โรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาก็ควรยุบไปบ้างครับ ตำแหน่งครูก็ยุบลงไปรวมกันในโรงเรียนใหญ่กว่าได้ครับ 
       
       ที่พูดมานี้ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำอำมหิต หรือไม่เห็นใจครูบาอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่สถานการณ์จะเป็นนายของทุกคน เด็กไม่มี เงินไม่มี ก็ไม่มีเงินจะจ้าง สถานการณ์จะบีบให้ผู้บริหารต้องบีบอาจารย์มหาวิทยาลัยลาออกไปครับ
       
       ดังนั้นอาจารย์มหาวิทยาลัย ควรมีอาชีพอื่นหรือแหล่งรายได้อื่นสำรองได้แล้วครับ ที่จะเอาทุนไปเรียนต่อปริญญาเอกก็คิดกันให้ดี ๆ กลับมาอาจจะไม่มีนักศึกษาให้สอน แล้วต้องไปทำงานธุรการก็ได้ ใครจะไปรู้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ 
       
       สวัสดีอาจารย์มหาวิทยาลัยไทย นี่คือความจริงอันเจ็บปวดที่ท่านกำลังต้องเผชิญ 
       
       แต่ที่ผมห่วงยิ่งกว่าคือเจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัย ซึ่งมีจำนวนมากยิ่งกว่าอาจารย์มหาวิทยาลัย และมีวุฒิการศึกษาน้อยกว่าอาจารย์ ซึ่งน่าจะถูกเลย์ออฟไปด้วย จะไปอยู่ที่ไหน จะไปทำงานอะไรหลังถูก lay off นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก เพราะโอกาสน่าจะน้อยกว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยค่อนข้างมาก ก็ต้องเตรียมตัวกันให้ดีครับ

Tuesday, August 7, 2018

สมาธิบำบัด ขจัดโรค

สมาธิบำบัด ขจัดโรค

มหิดลทำสมาธิบำบัด เพื่อช่วยขยายหลอดเลือดสมองหัวใจช่วยให้
พ้นวิกฤติ ทำเพียงวันละครั้งๆ ละ 10 นาที
ช่วยผ่อนคลายได้ด้วย
จาก รศ.ดร. สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี


ขจัดโรคภัย ไม่ต้องพึ่งยา

ขจัดโรคภัย ไม่ต้องพึ่งยา

ทำ 3 ท่านี้ จะช่วยท่านโบกมือลาเลิกกินยาเลย
โบกมือลาหลายโรค ทั้ง
-เบาหวาน
-ความดัน
-ระบบทางเดินอาหาร
-ระบบขับถ่าย
-กรดไหลย้อน
-โรคปวดหลัง
-ปวดเข่า
-ต่อมลูกหมาก
-อัมพฤกษ์ อัมพาต

ทั้งหมดนี้เป็นผลงาน วิจัยของอาจารย์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ง่ายๆ แต่ได้สุขภาพดี "เริ่มทำทันทีนะ



Tuesday, July 17, 2018

ร้อนในเกิดจากอะไร วิธีแก้ร้อนในในช่องปาก


ร้อนใน หรือแผลร้อนใน (Apthous ulcer) คือ แผลเปิดภายในช่องปากเกิดจากการแตกของเยื่อเมือก เป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยทางการแพทย์ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุอย่างชัดเจนได้ว่า ร้อนในเกิดขึ้นจากอะไร แต่มีหลายปัจจัยที่มักจะก่อให้เกิดอาการร้อนในขึ้น เช่น

          - การนอนดึก อดนอนเป็นประจำ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย

          - ความเครียด ความเหนื่อยล้า

          - การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ผู้หญิงในช่วงก่อนประจำเดือนมา หรือผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ มักมีอาการร้อนในเกิดขึ้น

          - การแพ้อาหารบางชนิด

          - การขาดวิตามินบี 12 ธาตุเหล็ก และกรดโฟลิก

          - การสูบบุหรี่

          แต่สำหรับทางการแพทย์แผนจีนจะมองว่าอาการร้อนในเกิดจาก "หยินหยาง" ในร่างกายไม่สมดุลกัน หากใครมี "หยิน" พร่อง เมื่อได้รับปัจจัยที่ก่อให้เกิดความร้อนในร่างกายก็จะเป็นร้อนในได้ง่าย ซึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดความร้อนในร่างกายก็อย่างเช่น ทานของมัน ของทอด อากาศร้อน พักผ่อนน้อยไป


ร้อนใน


อาการร้อนใน มีอะไรบ้าง

          คนที่เป็นแผลร้อนในเริ่มแรกจะมีแผลหรือตุ่มแดงเล็ก ๆ ขึ้นมาในริมฝีปากด้านใน หรือกระพุ้งแก้ม หรือบริเวณลิ้น จากนั้นตุ่มแดง ๆ จะกลายเป็นเม็ดสีขาวมีขอบสีแดงนูนออกมา มีอาการบวม และกลายเป็นแผลที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 มม. ทำให้เรารู้สึกเจ็บ 

          แม้ว่าโดยปกติแล้วแผลร้อนในจะไม่ทำอันตรายต่อสุขภาพ แต่ก็ทำให้คนที่เป็นเจ็บปวดและรำคาญไม่น้อยเลย ซึ่งโดยปกติแล้วแผลร้อนในจะเป็นอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ 


วิธีแก้ร้อนในในช่องปาก

          โดยปกติแล้วแผลร้อนในมักจะหายไปได้เองภายใน 7 วัน แต่ถ้าใครมีอาการปวดมาก ผ่านไป 7 วันแล้วก็ยังไม่หายเสียที คงต้องลองไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาดูค่ะ ซึ่งถ้าแพทย์ตรวจดูแล้วพบว่าเราเป็นเพียงอาการร้อนในธรรมดาก็อาจจะให้ยามาทา หรือบ้วนปาก เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น 

          อย่างไรก็ตาม ถ้าเรารู้จักดูแลตัวเอง ไม่ทำพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดอาการร้อนในขึ้นอีก อาการร้อนในที่เป็นอยู่ก็อาจจะหายได้เร็วขึ้นด้วยเหมือนกัน ทำง่าย ๆ ตามนี้เลย

          - หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกของทอด ของมัน ขนม น้ำตาล ทุเรียน ลำไย ข้าวเหนียวมะม่วง ฯลฯ ฟังชื่อก็เปรี้ยวปากอยากกินแล้วใช่ไหมล่ะ แต่อาหารพวกนี้แหละ ตัวการที่ทำให้เกิดความร้อนสะสมในร่างกาย แต่ถ้าอยากทานจริง ๆ ก็ทานได้ในปริมาณน้อย ๆ ค่ะ

          - หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น กระเทียม หอม ขิง ฯลฯ แต่สามารถทานพริกได้

          - รักษาความสะอาดในช่องปากให้ดี แปรงฟันทุกครั้งหลังจากรับประทานอาหารไปแล้วอย่างน้อย 30 นาที ถ้าเป็นไปได้ควรใช้ไหมขัดฟันทุกครั้งหลังอาหารด้วย 

          - รับประทานผักผลไม้ให้มาก ๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับแร่ธาตุ วิตามินอย่างครบถ้วน และจะได้ป้องกันอาการท้องผูก เพราะร้อนในมักเป็นร่วมกับท้องผูก

          - ดื่มน้ำให้มาก ๆ ในแต่ละวัน 

          - บ้วนปากด้วยน้ำเกลือวันละ 2-3 ครั้ง โดยผสมเกลือ 1 ช้อนชาลงในน้ำอุ่น 1 แก้ว

          - ลดความเครียดลง เพราะความเครียดเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดร้อนในในช่องปากได้อย่างไม่น่าเชื่อ 

          - หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินออกมาช่วยลดความเครียด

          - หลีกเลี่ยงการตากแดดจัด ๆ เพราะจะทำให้อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น

          - หากมีอาการปวดให้อมน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ หรือน้ำเย็น ๆ แต่ถ้าปวดมาก ๆ สามารถทานยาพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาอาการได้


อาหารแก้ร้อนใน


อาหารแก้ร้อนใน ทานอะไรดี

          อาหารบางชนิดที่มีฤทธิ์ร้อน เมื่อทานเข้าไปแล้วทำให้เกิดความร้อนสะสมอยู่ในร่างกายจนปรากฏเป็นอาการร้อนในได้ เมื่อเป็นแบบนี้ การทานอาหารที่มีฤทธิ์ตรงข้ามก็ช่วยบรรเทาอาการร้อนใน และทำให้หายได้เร็วขึ้นเหมือนกัน มาดูกันว่านอกจากการดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ แล้ว อาหารประเภทไหนบ้างที่มีฤทธิ์เย็น ช่วยดับร้อนในร่างกายได้เหมือนกัน 
          - มะระ เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ แก้กระหาย บรรเทาอาการร้อนใน แก้อักเสบ เจ็บคอ

          - ชะอม ช่วยลดความร้อนในร่างกาย ขับลมในลำไส้

          - ถั่วเขียว มีฤทธิ์ขับร้อนใน แก้กระหาย ขับปัสสาวะ

          - ผักกาดขาว ช่วยแก้ร้อนใน ป้องกันมะเร็ง 

          - ปวยเล้ง เป็นยาเย็น ช่วยขับร้อน แก้กระหาย

          - แตงกวา ขับปัสสาวะ แก้ไข้ กระหายน้ำ ไฟลวก ถ่ายพยาธิ แก้ท้องเสีย

          - ตำลึง ดับพิษร้อนภายในร่างกาย ลดอาการไข้ เป็นยาระบายอ่อน ๆ

          - ฟักเขียว มีฤทธิ์เย็น ช่วยถอนพิษ ขับร้อนในร่างกาย ขจัดเสมหะ ขับปัสสาวะ บำบัดอาการบวมน้ำ ไอ หอบ

          - หัวไชเท้า ล้างพิษภายใน ดับพิษร้อน บำรุงไต ขับปัสสาวะ ละลายนิ่ว
          
          - มะเฟือง ช่วยลดอุณหภูมิความร้อนภายในร่างกาย ปวดศีรษะ บรรเทาอาการไอ และนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ 

          - แตงไทย ดับกระหาย ลดความร้อนในร่างกาย ขับปัสสาวะ และเป็นยาระบายอ่อน ๆ 

          - ลองกอง ลดอุณหภูมิความร้อนภายในร่างกาย แก้อาการร้อนใน ทำให้ชุ่มคอ

          - ส้มโอ ช่วยในการขับถ่ายและขับสารพิษแก้อาการท้องอืด ช่วยระบายความร้อนในร่างกาย ผ่อนพิษไข้

          - อ้อย ช่วยบำรุงร่างกาย ลดอุณหภูมิความร้อนภายในร่างกาย บรรเทาอาการกระหายน้ำ  

          - มังคุด ช่วยลดความร้อนภายใน แก้กระหายน้ำ ช่วยเพิ่มเมือกภายในลำไส้และกระเพาะทำให้ถ่ายคล่อง

          - มะตูม ต้มดื่ม ช่วยแก้ร้อนใน ช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องเสีย ขับเสมหะ ช่วยเจริญอาหาร

          - เก๊กฮวย นำมาต้มดื่มช่วงหน้าร้อน ช่วยแก้ร้อนใน บำรุงตับ บำรุงประสาท บำรุงสายตา ขับลมในลำไส้

          - กระเจี๊ยบ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ลดความดันโลหิต บรรเทาอาการไอ

          - รากบัว แก้ร้อนใน ลดไข้ บำรุงโลหิต ช่วยให้เจริญอาหาร

          - หล่อฮั้งก้วย นำมาต้มดื่ม ช่วยแก้ร้อนใน กระหายน้ำ ขับเสมหะ แก้ท้องผูก โรคหลอดลมอักเสบ หืด หอบ

          - ใบบัวบก ช่วยแก้อาการร้อนใน ตัวร้อน รักษาอาการเจ็บคอ บำรุงโลหิตในร่างกาย บำรุงหัวใจ 


          วิธีการเหล่านี้คงช่วยให้อาการร้อนในในช่องปากของเพื่อน ๆ หายได้เร็วขึ้นบ้างล่ะค่ะ แต่ถ้าใครเป็นร้อนในหลายสัปดาห์แล้วยังไม่มีวี่แววว่าแผลจะหายสักที แบบนี้ลองไปพบแพทย์ให้ตรวจวินิจฉัยหน่อยดีกว่าค่ะ เพราะอาการนี้อาจเป็นสัญญาณของโรคอื่นได้เหมือนกัน